วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สุนัข


สุนัข หรือ หมา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมหลายชนิดหลายสกุลในวงศ์ Canidae ออกลูกเป็นตัว ลำตัวมีขนปกคลุม มีเขี้ยว 2 คู่ เท้าหน้ามี 5 นิ้ว เท้าหลังมี 4 นิ้ว ซ่อนเล็บไม่ได้ อวัยวะเพศของตัวผู้มีกระดูกอยู่ภายใน 1 ชิ้น ที่ยังคงเป็นสัตว์ป่า เช่น หมาใน (Cuon alpinus) ที่เลี้ยงเป็นสัตว์บ้าน คือ ชนิด Canis lupus familiaris สุนัขเป็นสัตว์ที่มีหลายพันธุ์ เช่น ลาบราดอร์, โกลเด้น, ชิวาวา และอีกมากมาย มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ดุและไม่ดุ พันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น โกลเด้น ลาบราดอร์ ที่มีขนาดเล็ก เช่น ชิวาวา ชิสุ ส่วนที่ดุ ได้แก่ ร็อดไวเลอร์ อัลเซเชียน สุนัขแต่ละพันธุ์จะมีนิสัยแตกต่างกัน
สุนัขพัฒนามาจากสัตว์กินเนื้อและล่าเหยื่อ ดังนั้นวิวัฒนาการของฟันสำหรับเคี้ยวเนื้อและกระดูกจึงยังคงมีอยู่ รวมทั้งการมีประสาทดมกลิ่นและตามล่าเหยื่อที่ดีมาก นอกจากนี้สุนัขยังมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงทำให้วิ่งได้เร็วและเร่งความเร็วได้เท่าที่ต้องการ ลักษณะการเดินของสุนัขจะทิ้งน้ำหนักตัวบนนิ้วเท้า ซึ่งส่งผลให้สุนัขเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วกว่าสัตว์ชนิดอื่น นอกจากนี้สุนัขยังมีสัญชาตญาณในการทำงานเป็นกลุ่ม ดังนั้นสุนัขจึงสามารถล่าสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สุนัขมีต้นกำเนิดมาจากสุนัขป่า มนุษย์แถบขั้วโลกเหนือนำมันมาเลี้ยงเมื่อประมาณ 12,000 ปีที่แล้ว เชื่อกันว่า สุนัขป่าตัวแรกนั้น เกิดขึ้นเมื่อ 100 ล้านปีก่อน การอพยพข้ามถิ่นและทวีปต่าง ๆ ทำให้สุนัขมีหลายสายพันธุ์ ชาวจีนมีความเชื่อว่าสุนัขที่ชื่อ Fu มีความซื่อสัตย์ และนำความเจริญมาให้ เป็นสุนัขคล้ายพันธุ์ปักกิ่ง "อนูบิส" ซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าอียิปต์ที่ตัวเป็นคน หัวเป็นสุนัข และเชื่อว่าสามารถส่งวิญญาณมนุษย์ได้
สุนัขพันธุ์ที่เรียกได้ว่าเป็นสุนัขพันธุ์ต้นตระกูลคือพันธุ์สุนัขทองที่มีอยู่อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ต่อมามีสุนัขป่าอีกพันธุ์หนึ่งที่มนุษย์นำมาเลี้ยงมีชื่อภาษาละตินว่า Conis Lupees ซึ่งแปลว่าสุนัขป่า สุนัขป่าชนิดนี้จะเชื่องกว่าสุนัขธรรมดา มีขนยาว หางเป็นแผง หูตั้ง กระดูกแก้มโหนก และหางของมันจะเอนขึ้นข้างบน มีนิสัยรักอิสระกว่าสุนัขทอง สุนัขป่านี้เมื่อมาอยู่กับมนุษย์ก็ผสมพันธุ์กับสุนัขทอง ออกลูกหลานสืบมาเป็นสุนัขพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย พันธุ์สุนัขที่เห็นทุกวันนี้ได้รับเชื้อสายมาจากสุนัขพันธุ์ทองเกือบทั้งหมด
การค้นคว้าวิจัยและศึกษาเรื่องราวของสุนัข ได้มีขึ้นในประเทศอังกฤษ ในแถบยุโรปและอเมริกา แล้วจึงแพร่หลายไปในส่วนต่าง ๆ ของโลก ในสหรัฐอเมริกาได้มีการจัดตั้งเป็นสมาคมผู้เลี้ยงสุนัขขึ้นในปี ค.ศ. 1878 (พ.ศ. 2421) สุนัขพันธุ์แท้ชนิดแรกที่ได้จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาคือ สุนัขพันธุ์อิงลิชเซทเตอร์ ในประเทศอังกฤษได้มีการรวบรวมกันตั้งสมาคมผู้เลี้ยงสุนัขขึ้นเช่นกันในปี ค.ศ. 1859 (พ.ศ. 2402) ในครั้งแรกสมาคมนี้ได้รับรองให้จดทะเบียนสุนัขพันธุ์แท้ได้ 40 สายพันธุ์ และได้จัดวิธีการรับรองสุนัขพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อความเหมาะสมถึง 2 ครั้ง ในปี ค.ศ. 1881 (พ.ศ. 2424) สมาคมนี้ได้ให้การรับรองพันธุ์แท้ต่าง ๆ รวมเป็นจำนวน 46 พันธุ์ การแก้ไขเพิ่มเติมการรับรองเป็นสุนัขพันธุ์แท้เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อปี ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2417) ได้มีสุนัขที่ให้การรับรองทั้งหมด 100 สายพันธุ์
สำหรับในประเทศไทยนั้น ก็มีผู้สนใจการเลี้ยงสุนัขรวบรวมกันจัดตั้งสมาคมขึ้นเช่นกัน โดยปรารถนาจะส่งเสริมบำรุงและอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้เลี้ยงสุนัขเหมือนกับต่างประเทศ โดยใช้ชื่อว่า สมาคมผู้นิยมสุนัขแห่งประเทศไทย ได้ทำการจดทะเบียนตั้งสมาคมเมื่อปี ค.ศ. 1955 (พ.ศ. 2498) ถือเป็นการวางรากฐานในการเลี้ยงสุนัขขึ้นในประเทศไทยเป็นแห่งแรก และตั้งใจที่จะให้เป็นประโยชน์แก่ผู้เลี้ยงสุนัขในประเทศไทยได้เช่นเดียวกับต่างประเทศ

ปะการัง



ปะการัง เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเล จัดอยู่ในชั้นแอนโธซัวและจัดเป็นพวกดอกไม้ทะเล มีขนาดเล็กเรียกว่าโพลิฟ แต่จะอาศัยรวมกันอยู่เป็นโคโลนีที่ประกอบไปด้วยโพลิฟเดี่ยวๆจำนวนมาก เป็นกลุ่มที่สร้างแนวปะการังที่สำคัญพบในทะเลเขตร้อนที่สามารถดึงสารแคลเซียมคาร์บอเนตจากน้ำทะเลมาสร้างเป็นโครงสร้างแข็งเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยได้
หัวของปะการังหนึ่งๆโดยปรกติจะสังเกตเห็นเป็นสิ่งมีชีวิตเดี่ยวๆอันหนึ่ง แต่ที่จริงนั้นมันประกอบขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตเดี่ยวๆขนาดเล็กนับเป็นพันๆโพลิฟโดยในทางพันธุ์ศาสตร์แล้วจะเป็นโพลิฟชนิดพันธุ์เดียวกันทั้งหมด โพลิฟจะสร้างโครงสร้างแข็งที่มีลักษณะเฉพาะของปะการังแต่ละชนิด หัวของปะการังหนึ่งๆมีการเจริญเติบโตโดยการสืบพันธุ์แบบไม่ใช้เพศของโพลิฟเดี่ยวๆ แต่ปะการังก็สามารถสืบพันธุ์ออกลูกหลานโดยการใช้เพศกับปะการังชนิดเดียวกันด้วยการปล่อยเซลล์สืบพันธุ์พร้อมๆกันตลอดหนึ่งคืนหรือหลายๆคืนในช่วงเดือนเพ็ญ
แม้ว่าปะการังจะสามารถจับปลาและสัตว์เล็กๆขนาดแพลงตอนได้โดยใช้เข็มพิษ (เนมาโตซิสต์) ที่อยู่บนหนวดของมัน แต่ส่วนใหญ่แล้วปะการังจะได้รับสารอาหารจากสาหร่ายเซลล์เดียวที่สังเคราะห์แสงได้ที่เรียกว่าซูแซนทาลา นั่นทำให้ปะการังทั้งหลายมีการดำรงชีวิตที่ขึ้นตรงต่อแสงอาทิตย์และจะเจริญเติบโตได้ในน้ำทะเลใสตื้นๆโดยปรกติแล้วจะอาศัยอยู่บริเวณที่มีความลึกน้อยกว่า 60 เมตร ปะการังเหล่านี้ถือว่าเป็นผู้สร้างโครงสร้างทางกายภาพของแนวปะการังที่พัฒนาขึ้นมาในทะเลเขตร้อนและเขตกึ่งร้อนอย่างเช่นเกรตแบริเออร์รีฟบริเวณนอกชายฝั่งของรัฐควีนส์แลนด์ของประเทศออสเตรเลีย แต่ก็มีปะการังบางชนิดที่ดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับสาหร่ายเนื่องจากอยู่ในทะเลลึกอย่างในมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ปะการังสกุล “โลเฟเลีย” ที่อยู่ได้ในน้ำเย็นๆที่ระดับความลึกได้มากถึง 3000 เมตร ตัวอย่างของปะการังเหล่านี้สามารถพบได้ที่ดาร์วินมาวด์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเคพแวร็ธในสก๊อตแลนด์ และยังพบได้บริเวณนอกชายฝั่งมลรัฐวอชิงตันและที่เกาะเอลิวเตียนของอลาสก้า

กุ้ง

กุ้ง (อังกฤษ: Shrimp) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ชั้น Crustacea อันดับ Decapoda มีด้วยกันหลายวงศ์ กุ้งเป็นสัตว์น้ำ หายใจด้วยเหงือก ลำตัวยาว แบนหรือกลม แบ่งเป็นปล้องๆ เปลือกที่หุ้มท่อนหัวและอกคลุมมาถึงอกปล้องที่ 8 ส่วนใหญ่กรีมีลักษณะแบนข้าง ก้ามและขาอยู่ที่ส่วนหัวและอก มี 10 ขา มีทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม โดยปกติชอบหลบซ่อนตัวอยูเงียบ ๆ ตามพื้นน้ำหรือในวอกมือด ๆ จะออกหากินในเวลากลางคืน กุ้งกินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร เช่น กิน กุ้งด้วยกันเอง ลูกปลา ไส้เดือน สัตว์หน้าดินขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ ข้าว เนื้อมะพร้าวตลอดจนซากสัตว์ สามารถแบ่งออกได้หลายชนิด เช่น กุ้งกุลาดำ กุ้งก้ามกราม กุ้งนาง กุ้งหลวง กุ้งก้ามเกลี้ยง กุ้งตะกาด กุ้งตะเข็บ กุ้งฝอย กุ้งหัวแข็ง กุ้งหัวโขน กุ้งขาว กุ้งรู กุ้งหิน กุ้งดีดขัน กุ้งแชบ๊วย กุ้งเครย์ฟิช

การนอน


การนอนหลับ คือ สภาวะทางร่างกายขณะไม่มีสติสัมปชัญญะเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนคืนแล้วคืนเล่า แม้ว่าจะให้มนุษย์อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงสว่างสม่ำเสมอ ไม่มีสัญญาณใดๆ บ่งบอกเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ตามการง่วงหลับและการตื่นขึ้นก็จะยังสามารถเกิดขึ้นได้โดยอัตโนมัติ
โดยทั่วไปเรามักเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนต้องการนอนหลับพักผ่อน 7 - 9 ชั่วโมงจึงเพียงพอ แต่ความเป็นจริง มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการนอนน้อยกว่านี้ก็ทำให้สดชื่นได้ สามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในช่วงกลางวัน ได้เป็นปกติ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการนอนมากกว่า 8 ชั่วโมงจึงจะพอ
ในทารกแรกเกิดพบว่าเด็กนอนได้เกือบตลอดทั้งวัน ยกเว้นช่วงที่ตื่นขึ้นมากินนม เมื่ออายุได้ 1 ขวบ เวลา นอนและเวลาตื่นจะเท่าๆ กันคือ 12 ชั่วโมง ในเด็กโตความต้องการนอนจะลดเหลือประมาณ 10 ชั่วโมง ในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ต้องการการนอน 7-8 ชั่วโมง บางคนนอนน้อยกว่านี้ (< 6 ชั่วโมง) และ บางคนมากกว่านี้ (>9 ชั่วโมง) เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นอนหลับมากกว่า 10 ชั่วโมงในแต่ละคืน แต่วิคเตอร์ ฮิวโก และวินสตัน เชอร์ชิลล์ ไม่นอนเกิน 5 ชั่วโมงต่อคืน การนอนจะเริ่มลดระยะเวลาลง เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ในผู้สูงอายุเวลาการนอนกลางคืนจะลดลง ตื่นบ่อย และมักนอนกลางวัน
ดังนั้นมนุษย์แต่ละคนต้องการการนอนไม่เท่ากัน นอนเท่าไรถึงจะเพียงพอจึงขึ้นอยู่กับความรู้สึก เฉพาะตัวที่ทำให้สดชื่น และกระปรี้กระเปร่าพร้อมที่จะทำงานในวันใหม่ได้อย่างเต็มที่ การนอนหลับสำคัญกว่าที่เราคิด ถึงแม้มนุษย์จะนอนหลับคืนแล้วคืนเล่า แต่การนอนหลับเป็น กิจกรรมที่เข้าใจยากที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ ทั้งที่ช่วงการ นอนหลับเป็นช่วงที่อันตรายที่สุด เพราะการรับรู้โลกภายนอก และความสามารถในการป้องกันตนเองจะลดลงอย่างมาก ปลาโลมาซึ่งต้องขึ้นมาหายใจที่ผิวน้ำเป็นระยะๆ ยังนอนหลับ โดยที่มีสมองอีกซีกหนึ่งตื่นอยู่เสมอ การศึกษาของมูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติ (National Sleep Foundation) สหรัฐอเมริกาพบว่า 21% ของ ประชาชนอเมริกันมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ จนถึงขั้นมีปัญหา ง่วงนอน และรบกวนความสามารถในการทำงานช่วงกลางวัน
อย่างน้อย 2-3 วัน ต่อสัปดาห์ และที่น่าตกใจคือ 17% ของชาวอเมริกันเคยงีบหลับขณะขับรถในช่วงปี ที่ผ่านมา โดยที่ 1-3% ของอุบัติเหตุทางรถยนต์มาจากความง่วงนอนของคนขับ จากหลายสาเหตุทั้ง การอดนอนจากการเที่ยวกลางคืนของวัยรุ่น การทำงานเป็นผลัดโดยเฉพาะกะกลางคืน การดื่มสุราและ การใช้ยาที่มีส่วนกดระบบประสาท เช่น ยาแก้หวัดบางชนิด และโรคที่รบกวนการนอน
เมื่อคนเราอดนอนจะทำให้เกิดปัญหาทางอารมณ์ เพราะเกิดความไม่สมดุลในร่างกายและจิตใจ เช่น หงุดหงิด อามรณ์แปรปรวน ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม เกิดปัญหาการมองเห็น เช่นอาการร้อนในลูกตา แสบตา เห็นภาพผิดปกติ หรือประสาทหลอน (หลังอดนอน 3 วัน) บางคนมีอาการเหมือนเข็มแทงที่มือ และเท้า และจะไวต่อความเจ็บปวดมาก
การอดนอน คือ การนอนไม่เพียงพอทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ จะทำให้เกิด “หนี้การนอน (sleep debt)” ซึ่งจะได้รับการชดเชยเสมอในการนอนหลับคืนถัดไป ถ้าเราอดนอนมากเกินไปหรืออดนอน คืนละน้อยแต่หลายคืนติดต่อกัน มันจะสะสมจนเกิดความง่วงจนไม่สามารถฝืน และอาจหลับในได้ ในเวลาต่อมา ช่วงที่เราง่วงหรือหลับใน เป็นช่วงที่ความสามารถในความจำ การตัดสินใจ การทำงาน ประสานกันของกล้ามเนื้อลดลงจนขาดหายไป และนำไปสู่อุบัติเหตุต่างๆ ได้ง่ายที่สุด
ปัญหาที่อาจพบได้ในขณะนอนหลับ สำหรับบางคนจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาภายในร่างกายขณะนอนหลับ ซึ่งอาจจะเกิดการ ขาดลมหายใจ หรือมีลมหายใจลดลงเป็นระยะในช่วงการนอนหลับ (sleep apnea-hypopnea syndrome) ขึ้นได้ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ รวมถึงทำให้คุณภาพและปริมาณการ นอนหลับไม่ดีพอด้วย ในระยะยาวมีโอกาสจะทำให้บุคคลนั้นเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูง โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และอัมพฤกษ์อีกด้วย ประเด็นนี้ยังรวมถึงโรคไหลตายที่พบมากในคนอีสาน และในต่างประเทศที่เป็นกันมาก โดยยังไม่มีผู้พิสูจน์สาเหตุได้แจ่มชัดจนวันนี้

ขนมจีน

ขนมจีน เป็นอาหารคาวอย่างหนึ่งของไทย ประกอบด้วยเส้นเรียกว่า เส้นขนมจีน และน้ำยา หรือน้ำยาขนมจีน เป็นที่นิยมทุกท้องถิ่นของไทย แต่มีการปรุงน้ำยาแตกต่างกัน
แม้ว่า ขนมจีน จะมีคำว่า "ขนม" แต่ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับขนมใดๆ ขณะเดียวกัน แม้จะมีคำว่า "จีน" แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาหารของจีน ภาษาเหนือเรียก ขนมเส้น ภาษาอิสาน เรียก ข้าวปุ้น จะมีขนมจีนชนิดหนึ่งซึ่งใกล้เคียงกับขนม คือ ขนมจีนซาวน้ำ เพราะมีรสหวาน
เส้นขนมจีนแบ่งได้เป็น 2 แบบคือ
  • ขนมจีนแป้งหมัก ใช้การหมักแป้งข้าวเจ้าโดย นำแป้งข้าวเจ้ามาแช่น้ำให้นิ่ม และนำไปโม่ก่อนหมักประมาณเจ็ดวันเมื่อหมักแล้วจึงนำมานวดในเครื่องนวดแป้ง
  • ขนมจีนแป้งสด ใช้วิธีการผสมแป้งข้าวเจ้า ไม่ต้องทิ้งไว้แล้วจึงนำมานวดในเครื่องนวดแป้ง
หลังจากนวดแป้งแล้วจะเทแป้งใส่กระบอกทองเหลือง มีรูเจาะไว้ที่ปลายด้านหนึ่ง เมื่อกดแป้งเข้าไปในกระบอก เส้นขนมจีนก็จะไหลออกจากปลายกระบอก เป็นเส้นกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 - 1.5 มิลลิเมตร เมื่อได้เส้นแล้วก็ทำต้มในน้ำร้อนเดือดเพื่อทำความสะอาด แล้วนำมาร้าดด้วยน้ำสะอาดอีกทีหนึ่ง เส้นขนมจีนที่ได้ จะจัดเรียงเอาไว้เป็นกลุ่มๆ ขนาดประมาณ 1 ฝ่ามือ บางถิ่นเรียก จับ หรือ หัว เมื่อเรียงในจานสำหรับรับประทาน จะใส่ประมาณ 3-4 จับ

ความเกลียดชัง

ความเกลียดชัง เป็นอารมณ์หนึ่งของมนุษย์ที่แสดงถึงความไม่ชอบ หรือ ปฏิกิริยาที่แสดงความไม่เห็นด้วย กับผู้อื่น บางครั้งพบว่าความเกลียดชังเป็นอาการที่เกิดจากการดูถูกตนเอง มากกว่าจากการถูกข่มเหงรังแก
ความเกลียดชัง ตรงข้ามกับความรัก สามารถลดอาการเกลียดชังได้ด้วยการหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เกลียดชัง แต่หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เราเกลียดชังได้ ก็ควรหลับตา ระลึกถึงแต่สิ่งที่สวยงาม และทำให้เรามีความสุข ที่สำคัญเราควรระงับอารมณ์เกลียดชังให้อยู่ เพราะบางครั้งอารมณ์เกลียกชังก็นำพาเราไปสู่ความรุนแรงได้ บางครั้งความเกลียดชังสามารถแก้ได้ด้วยการให้อภัย
ในเชิง จิตวิทยา, ซิกมุนด์ ฟรอยด์ นิยามความเกลียดชังว่าเป็นความพยายามทำลายต้นกำเนิดแห่งความไม่มีความสุข

ดวงตา

   ดวงตา เป็นอวัยวะสำคัญที่มีบทบาทและมีคุณค่ามากสำหรับเราทุกคน ประมาณกันว่า 70 – 80 % ของสิ่งที่เรารับรู้ และเรียนรู้ ได้มาจากการมองเห็น การมองเห็นที่ชัดเจน จึงมีความสำคัญมากในการมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุข สายตาปกติเป็นผลของการที่แสงโฟกัสผ่านกระจกตา (Cornea) และเลนส์แก้วตา (Crystalline Lens) ลงพอดีที่จอประสาทตา(Retina) ถ้ากำลังการรวมแสง (Refractive power) ของตาไม่พอดีกับความยาวลูกตา เป็นผลให้การรวมแสงของตาตกไม่พอดีที่จอประสาทตา เกิดภาวะสายตาผิดปกติ (Refractive errors หรือ Ametropia)
            การวัดสภาพสายตานั้นมักที่จะใช้ค่าในการวัดเป็น Diopterารมองเห็นในระดับ 20 /20 เป็นการมองเห็นด้วยตาเปล่าในระดับปกติซึ่งวัดที่ระยะห่าง 20 ฟุต หากท่านมีระดับการมองเห็นในระดับ 20/20 ท่านสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะ 20 ฟุต แต่หากท่านมีการมองเห็นในระดับ 20/40 หมายถึงท่านต้องเข้ามาใกล้ในระดับ 20 ฟุต จึงสามารถมองเห็นสิ่งที่คนสายตาปกติมองเห็นได้ในระยะ 40 ฟุตได้ การมองเห็นในระดับ 20/20 ไม่ใช่การมองเห็นที่ดีที่สุด แต่แสดงให้เห็นความชัดเจนของการมองเห็นในระยะห่าง 20 ฟุตเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการมองเห็นอื่นๆ ที่สำคัญอีก ประกอบด้วย การมองเห็นด้านข้าง การทำงานร่วมกันของดวงตา ระดับในการมองเห็น ความสามารถในการรวมแสง และการมองเห็นสี ซึ่งรวมกันเป็นความสามารถในการมองเห็นโดยรวม

ความรัก

รัก ไว้ว่า เป็นคำกริยา หมายถึงมีใจผูกพันด้วยความห่วงใย มีใจผูกพันด้วยความเสน่หาหรือชอบ อย่างไรก็ตาม คำว่า "รัก" สามารถมีความหมายที่เกี่ยวข้องกันแต่แตกต่างกันชัดเจนจำนวนมากขึ้นอยู่กับบริบท บ่อยครั้งที่ในแต่ละภาษาจะใช้คำหลายคำเพื่อแสดงออกซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับความรักที่แตกต่างกัน ตัวอย่างหนึ่งคือการที่ในภาษากรีกมีคำหลายคำที่ใช้สำหรับความรัก ความแตกต่างทางวัฒนธรรมในการสร้างกรอบความคิดเกี่ยวกับความรักทำให้เป็นการยากยิ่งขึ้นที่จะหานิยามสากลของความรัก
ถึงแม้ว่าธรรมชาติหรือสาระของความรักจะยังเป็นหัวข้อการโต้เถียงกันอย่างบ่อยครั้ง มุมมองที่แตกต่างกันของความรักสามารถทำให้เข้าใจได้ด้วยการพิจารณาว่าสิ่งใดไม่ใช่ความรัก หากความรักเป็นการแสดงออกทั่วไปของความรู้สึกทางใจในแง่บวกที่รุนแรงกว่าความชอบ โดยทั่วไปแล้วจะขัดแย้งกับความเกลียดชัง (หรือภาวะไร้อารมณ์แบบเป็นกลาง) หากความรักมีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้องน้อยกว่าและเป็นรูปแบบความผูกพันทางอารมณ์แบบโรแมนติกที่เกี่ยวกับความสนิทสนมทางอารมณ์และทางเพศ โดยทั่วไปแล้วจะขัดแย้งกับราคะ และหากความรักเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มีโรแมนติกสอดแทรกอยู่มาก ความรักก็จะขัดแย้งกับมิตรภาพในบางครั้ง ถึงแม้ว่าความรักมักจะใช้หมายถึงมิตรภาพแบบใกล้ชิดอยู่บ่อย ๆ
หากกล่าวถึงแบบนามธรรม โดยปกติแล้วความรักจะหมายถึงความรักระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่บุคคลหนึ่งรู้สึกกับอีกบุคคลหนึ่ง บ่อยครั้งที่ความรักเกี่ยวข้องกับความรู้สึกเอื้ออาทรหรือคิดว่าตนเองเหมือนกับบุคคลหรือสิ่งอื่น ซึ่งอาจรวมไปถึงตัวบุคคลนั้นเองด้วย นอกเหนือไปจากความแตกต่างในแต่ละวัฒนธรรมในการเข้าใจความรักแล้ว แนวคิดเกี่ยวกับความรักยังได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลเมื่อเวลาผ่านไป นักประวัติศาสตร์บางคนเปรียบเทียบแนวคิดสมัยใหม่ของความรักแบบโรแมนติกกับความรักแบบเทิดทูนในยุโรประหว่างหรือหลังยุคกลาง ถึงแม้ว่าการมีอยู่ของความผูกพันแบบโรแมนติกจะปรากฏในบทกลอนรักในสมัยโบราณแล้วก็ตาม
มีสำนวนจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับความรัก นับตั้งแต่ "ความรักเอาชนะทุกสิ่ง" ของเวอร์จิล ไปจนถึง "ทั้งหมดที่คุณต้องการคือความรัก" ของเดอะบีตเทิลส์ นักบุญโทมัส อควีนาส ตามหลังอริสโตเติล นิยามความรักไว้ว่าเป็นความ "ปรารถนาดีแก่ผู้อื่น" เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์อธิบายความรักไว้ว่าเป็นสภาพของ "คุณธรรมสูงสุด" ซึ่งปฏิเสธคุณธรรมที่เกี่ยวข้อง
บางครั้ง ความรักถูกกล่าวถึงว่าเป็น "ภาษาสากล" ซึ่งข้ามผ่านความแตกต่างทางวัฒนธรรมและภาษา

Firework



เนื้อเพลง firework + แปล

Do you ever feel like a plastic bag
เธอคงเคยรู้สึก เหมือนเป็นถุงพลาสติก
Drifting throught the wind
ที่ลอยไปตามลมอย่างไม่มีจุดหมาย
Wanting to start again
เเละอยากที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

Do you ever feel, feel so paper thin
เธอคงเคยรู้สึกเหมือนเป็นกระดาษที่บางๆ
Like a house of cards
เหมือนกับบ้านกระดาษ
One blow from caving in
ที่ถูกเป่าเพียงครั้งเดียวก็พังทลาย

Do you ever feel already buried deep
Six feet under scream
เธอคงเคยรู้สึกเหมือนถูกฝั่งลงไปลึกหกฟุต
But no one seems to hear a thing
กรีดร้องดังเท่าไรก็ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยินเสียงนั่น

Do you know that there's still a chance for you
เธอรู้ไหม ว่าที่ตรงนี้ ยังมีโอกาสสําหรับเธอ
Cause there's a spark in you
เพราะ มันจุดประกายในตัวเธอ
You just gotta ignite the light
เพียงเธอจุดไฟให้ในตัวออกมา
And let it shine
เเล้วปล่อยให้มันเปล่งแสง
Just own the night
เวลานี้คือคําคืนนี้เป็นของเธอ
Like the Fourth of July
ทำให้มันเป็นเหมือนกับวันที่สี่ของเดือนกรกฎาคม (วันประกาศอิสระภาพ)

Cause baby you're a firework
ก็เพระเธอเป็นเหมือนดอกไม้ไฟ
Come on show 'em what your worth
เอามันออกมาเลย มาแสดงให้เห็นค่าในตัวเธอ
Make 'em go "Oh, oh, oh!"
ทำเลย OH OH OH
As you shoot across the sky-y-y
ยิงมันให้ข้ามไปไกลถึงท้องฟ้า ฟ้า ฟ้า
Baby you're a firework
ก็เพระเธอเป็นเหมือนดอกไม้ไฟ
Come on let your colors burst
มาเลย ปล่อยสีสันในตัวเธอ ออกมาเลย
Make 'em go "Oh, oh, oh!"
ทำเลย OH OH OH
You're gonna leave 'em fallin' down-own-own
เธอจะลุกขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง เอง เอง
You don't have to feel like a waste of space
เธอจะไม่รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า
You're original, cannot be replaced
เธอ คือ original โดยที่ไม่มีใครมาแทนที่
If you only knew what the future holds
เธอเท่านั้นที่เป็นคนถืออนาคตของเธอเอาไว้ในกำมือ
After a hurricane comes a rainbow
หลังพายุเฮอริเคน สายรุ้งจะเกิดขึ้น
 Maybe you're reason why all the doors are closed
บางที่เธอเองอาจเป็นต้นเหตุที่ทําให้ประตูทุกบานของเธอถูกปิด
So you can open one that leads you to the perfect road
Like a lightning bolt, your heart will blow
ต้องมีประตูสักบานที่เธอเปิดมันออก เเละมันจะนําทางให้เทอสู้ถนนทีีสมบูรณ์
เหมือนสายฟ้าผ่าลงมาที่หัวใจ
And when it's time, you'll know
เเละเมื่อเวลานั้นมาถึง เธอจะเข้าใจ
You just gotta ignite the light
เพียงเธอจุดไฟให้ในตัวออกมา
And let it shine
เเล้วปล่อยให้มันเปล่งแสง
Just own the night
เวลานี้คือคําคืนนี้เป็นของเธอ
Like the Fourth of July
ทำให้มันเป็นเหมือนกับวันที่สี่ของเดือนกรกฎาคม (วันประกาศอิสระภาพ)

Cause baby you're a firework
ก็เพระเธอเป็นเหมือนดอกไม้ไฟ
Come on show 'em what your worth
เอามันออกมาเลย มาแสดงให้เห็นค่าในตัวเธอ
Make 'em go "Oh, oh, oh!"
ทำเลย OH OH OH
As you shoot across the sky-y-y
ยิงมันให้ข้ามไปไกลถึงท้องฟ้า ฟ้า ฟ้า
Baby you're a firework
ก็เพระเธอเป็นเหมือนดอกไม้ไฟ
Come on let your colors burst
มาเลย ปล่อยสีสันในตัวเธอ ออกมาเลย
Make 'em go "Oh, oh, oh!"
ทำเลย OH OH OH
You're gonna leave 'em fallin' down-own-own
เธอจะลุกขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง เอง เอง


Boom Boom Boom
Even brighter than the moon, moon, moon
ทํามันให้มันสว่างกว่าเเสงของดวงจันทร์ไปเลย Moon Moon Moon
It's always been inside of you, you, you
มันจะอยู่เคียงข้างเธอ
And now it's time to let it through
เเละถึงตอนนั้น เธอจะผ่านทุกอย่างไปได้

Cause baby you're a firework
ก็เพระเธอเป็นเหมือนดอกไม้ไฟ
Come on show 'em what your worth
เอามันออกมาเลย มาแสดงให้เห็นค่าในตัวเธอ
Make 'em go "Oh, oh, oh!"
ทำเลย OH OH OH
As you shoot across the sky-y-y
ยิงมันให้ข้ามไปไกลถึงท้องฟ้า ฟ้า ฟ้า
Baby you're a firework
ก็เพระเธอเป็นเหมือนดอกไม้ไฟ
Come on let your colors burst
มาเลย ปล่อยสีสันในตัวเธอ ออกมาเลย
Make 'em go "Oh, oh, oh!"
ทำเลย OH OH OH
You're gonna leave 'em fallin' down-own-own
เธอจะลุกขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง เอง เอง

Boom Boom Boom
Even brighter than the moon, moon, moon
ทํามันให้มันสว่างกว่าเเสงของดวงจันทร์ไปเลย Moon Moon Moon
Boom Boom Boom
Even brighter than the moon, moon, moon
ทํามันให้มันสว่างกว่าเเสงของดวงจันทร์ไปเลย Moon Moon Moon


เฟย์ ฟาง แก้ว

เฟย์ ฟาง แก้ว เป็นกลุ่มศิลปินหญิงชาวไทย สังกัดค่ายกามิกาเซ่ ในเครือ อาร์เอส ประกอบด้วย เฟย์-พรปวีณ์ นีระสิงห์ ฟาง-ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์ และแก้ว - จริญญา ศิริมงคลสกุล มีผลงานอัลบั้มแรกชื่อ Faye Fang Kaew วางแผงเมื่อ 29 มีนาคม พ.ศ. 2550
สมาชิก
 เฟย์
  • ชื่อ-นามสกุล พรปวีณ์ นีระสิงห์
  • ชื่อเล่น เฟย์
  • วันเกิด 29 ธันวาคม พ.ศ. 2535
  • การศึกษา
- ระดับก่อนประถมศึกษา โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย
- ระดับประถมศึกษา โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย
- ระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย
- ระดับอุดมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะรัฐศาสตร์ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์

 ฟาง

  • ชื่อ-นามสกุล ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์
  • ชื่อเล่น ฟาง
  • วันเกิด 12 กันยายน พ.ศ. 2534
  • การศึกษา
- ระดับก่อนประถมศึกษา โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย
- ระดับประถมศึกษา โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย
- ระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย
- ระดับอุดมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต

 แก้ว

  • ชื่อ-นามสกุล จริญญา ศิริมงคลสกุล
  • ชื่อเล่น แก้ว
  • วันเกิด 22 มิถุนายน พ.ศ. 2535
  • การศึกษา
- ระดับก่อนประถมศึกษา ไม่มีข้อมูล
- ระดับประถมศึกษา โรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบอน
- ระดับมัธยมศึกษา Trinity International School, General Educational Development
- ระดับอุดมศึกษา Stamford International University (Bangkok Campus) คณะการตลาด (Marketing)
ปกอัลบั้มรายละเอียดอัลบั้มรายชื่อเพลง
Ffk 1st fayefangkaew.jpgFaye Fang Kaew
  1. นะครับ นะคร๊าบ
  2. MSN
  3. FLOWER ยังเป็นดอกไม้ของเธออยู่หรือเปล่า
  4. ก็บอกไปแล้วนี่นา Say What You Mean
  5. แกล้งงอน ถ้ารักกัน ยอมฉันนะเธอ (Feat. พายุ)
  6. อยากเป็นแค่น้องสาว Younger Sisters
Ffk 2nd mizu2.jpgMiz U 2
  • วางแผง: 13 มีนาคม พ.ศ. 2551
  • สังกัด: กามิกาเซ่
  1. Miz Call Miz U (Feat. K-OTIC) [T-RAP]
  2. คำถาม My Question?
  3. ผมรักคุณ I Luv U
  4. ได้ทั้งนั้น Everything For You
  5. เด็กดื้อ Your Stubborn Love
  6. Miz Call Miz U (Feat. K-OTIC) [K-RAP]
Ffk 3rd popparazzi.jpgPOPparazzi
  • วางแผง: 26 มีนาคม พ.ศ. 2552
  • สังกัด: กามิกาเซ่
  1. Help Me Please (Feat. Storm)
  2. อย่าให้ความหวัง Love Fool
  3. แฟนคนนึง Your Girl (Feat. Tomo K-OTIC)
  4. ความรัก Love
  5. ขึ้นอยู่ที่เธอ Up 2 U
  6. ยอมเป็นเพื่อนเธอ Friend Or Nothing
  7. ว่างป่าว R U Busy?
  8. ข่าวลือ Rumor
  9. Top Friend
  10. ขอบคุณที่ให้ฉันได้รักเธอ Thanks 4 U
Ffk 4th ladies&gentlemen.jpgLadies & Gentlemen
  • วางแผง: 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553
  • สังกัด: กามิกาเซ่
  1. Baby Boy (Feat. Koen K-OTIC)
  2. ไม่ใช่อิจฉา (Jealous)
  3. อยากลืมว่าเป็นเพื่อนเธอ (Blank)
  4. คิดสั้น (Deeper)
  5. หลงทาง (Blinded)
  6. ฉันเกลียดเธอ (Hate U)
  7. ไม่คิดแต่รู้สึก (Maybe)
  8. ดีกว่านะ (Boy Friend)
  9. สัญญา (ต้องเป็นสัญญา) (Promise)
  10. ไม่ใช่อิจฉา (Jealous Acoustic)

โดโด้

โดโด้ (อังกฤษ: dodo) เป็นนกท้องถิ่นที่พบได้เฉพาะบนหมู่เกาะมอริเชียสในมหาสมุทรอินเดีย เป็นนกที่บินไม่ได้อยู่ในตระกูลเดียวกับนกพิราบ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Raphus cucullatus
ในปี พ.ศ. 2048 ชาวโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปพวกแรกที่พบ และเพียงประมาณปี พ.ศ. 2224 มันก็สูญพันธุ์อย่างรวดเร็วโดยมนุษย์ รวมถึงสุนัขล่าเนื้อ หมู หนู ลิง ที่ถูกนำเข้าโดยชาวยุโรป
โดโด้ไม่ใช่นกเพียงชนิดเดียวในมอริเชียสที่สูญพันธุ์ในศตวรรษนี้ จากนกกว่า 45 ชนิดที่พบบนเกาะ มีเพียง 21 ชนิดเท่านั้นที่เหลือรอด นกสองชนิดซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกับโดโด้ก็สูญพันธุ์ไปเช่นกัน คือ Reunion solitaire (Raphus solitarius) ประมาณปี พ.ศ. 2289 และ Rodrigues solitaire (Pezophaps solitaria) ประมาณปี พ.ศ. 2333 เมื่อทศวรรษ พ.ศ. 2533 วิลเลียม จ. กิบบอนส์ นำคณะสำรวจขึ้นค้นหาบนเขาบนเกาะมอริเชียส แต่ก็ไม่มีใครค้นพบ จึงประกาศการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการ
ลักษณะทางกายภาพ
โครงกระดูกของโดโด้
  • น้ำหนัก : โตเต็มที่หนักประมาณ 23 กิโลกรัม (50 ปอนด์)
  • สูง : ประมาณ 1 เมตร
ความรู้ปัจจุบันเกี่ยวกับโดโด้ มาจากทั้งบันทึกและข้อเขียนของกะลาสีและกัปตันเรือที่ขึ้นฝั่งมัวริเทียส เมื่อ พ.ศ. 2143-พ.ศ. 2243 ภาพวาดจากผู้คนน้อยนิดที่เคยเห็นขณะพวกมันมีชีวิต (แม้ว่าจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าศิลปินเหล่านั้นตอกไข่ใส่สีโดโด้จากที่เห็นบ้างหรือไม่)
ซากฟอสซิลเล็กน้อยที่ขุดค้นได้จากเกาะถูกเก็บรักษาที่บริติชมิวเซียม รอยเท้ารอยจิกถูกเก็บรักษาไว้ที่อ็อกซ์ฟอร์ด จากบันทึกและภาพเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์และนักปักษีวิทยาร่วมกันปะติดปะต่อรายละเอียดที่ประกอบขึ้นเป็นโดโด้
ธันวาคม พ.ศ. 2548 พบหลักฐานสำคัญบนเกาะมอริเชียส พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งดับลินรวบรวมข้อมูลจากกระดูกเท้าและหัวที่ยังไม่บุบสลาย ซึ่งบรรจุเนื้อเยื่ออ่อนของสัตว์ชนิดนี้ ซากโดโด้สต๊าฟชิ้นสุดท้ายที่พิพิธภัณฑ์ Ashmolean Museum ในอ๊อกซ์ฟอร์ดถูกเผาในปี ค.ศ. 1755 โดยสามารถกู้เท้าและหัวได้และถูกจัดแสดงถึงปัจจุบัน
โดโด้ ตัวใหญ่ อ้วนปุ๊กลุ๊ก ตัวใหญ่มาก หนักถึง 23 กิโลกรัม (50 ปอนด์) มีขนสีเทาถึงน้ำเงิน 23 เซนติเมตร (9 นิ้ว)
หัวมีสีเทาเทาอ่อนกว่าตัว ตาเล็กสีเหลือง ปากโต โค้งและเป็นตะขอ สีเขียวอ่อนหรือเหลืองเพล อันเป็นจุดเด่นที่สุด จะงอยปากค่อนข้างดำ มีจุดแดงเรื่อ ปกคลุมด้วยขนสีเทาอ่อนนุ่ม มีปุยสีขาวหยิกชูเชิดเป็นหาง
โครงสร้างหน้าอกไม่รองรับการบิน ปีกไร้ประโยชน์ที่เล็กมาก บอบบางเกินจะยกโดโด้ขึ้นจากพื้น จึงบินไม่ได้ ผู้คนที่เคยเห็นมักคิดว่ามันไม่มีปีก อย่างที่เขาเรียกว่า ปีกเล็กที่เล็ก (little winglets) เพราะเป็นนกบนพื้นดิน ที่วิวัฒนาการมาเฉพาะนิเวศวิทยาของเกาะ ซึ่งไม่เคยมีสัตว์นักล่า อย่างไรก็ตาม การศึกษาจากกระดูก โดโด้อาจใช้ปีกง่ายกว่าการบิน นั่นคือใช้ว่ายอย่างปีกเพนกวิน
ขาสั้น อ้วนเตี้ย หนาแข็งแรง สีเหลือง มีนิ้วเท้าหนากลม 4 นิ้ว 3 นิ้วข้างหน้าและ 1 นิ้วโป้งอยู่ข้างหลัง มีเล็บสีดำ
ใครเห็นต่างก็ประหลาดใจในรูปร่างและขนาดพิลึกกึกกือ

ไดโนเสาร์

ไดโนเสาร์ (อังกฤษ: Dinosaur) เป็นชื่อเรียกโดยรวมของสัตว์ดึกดำบรรพ์ในอันดับใหญ่ Dinosauria ซึ่งเคยครองระบบนิเวศน์บนพื้นพิภพ ในมหายุคมีโซโซอิก เป็นเวลานานถึง 165 ล้านปี ก่อนจะสูญพันธุ์ ไปเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าไดโนเสาร์เป็นสัตว์เลื้อยคลาน แต่อันที่จริงไดโนเสาร์เป็นสัตว์ในอันดับหนึ่งที่มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างสัตว์เลื้อยคลานและนก
คำว่า ไดโนเสาร์ ในภาษาอังกฤษ dinosaur ถูกตั้งขึ้นโดย เซอร์ ริชาร์ด โอเวน นักบรรพชีวินวิทยา ชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นการผสมของคำในภาษากรีกสองคำ คือคำว่า deinos (ใหญ่จนน่าสะพรึงกลัว) และคำว่า sauros (สัตว์เลื้อยคลาน)
หลายคนเข้าใจผิดว่า ไดโนเสาร์ คือสัตว์ที่อาศัยอยู่ในมหายุคมีโซโซอิกทั้งหมด แต่จริงๆ แล้ว ไดโนเสาร์ คือสัตว์ชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนพื้นดินเท่านั้น สัตว์บกบางชนิดที่คล้ายไดโนเสาร์ สัตว์น้ำและสัตว์ปีกที่มีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ ไม่ถือว่าเป็นไดโนเสาร์ เป็นเพียงสัตว์ชนิดที่อาศัยอยู่ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์เท่านั้น
แม้ว่าไดโนเสาร์จะสูญพันธุ์ไปนานหลายล้านปีแล้ว แต่คำว่าไดโนเสาร์ก็ยังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะไดโนเสาร์นั้นนับว่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยปริศนาและความน่าอัศจรรย์เป็นอันมากนั่นเอง
ประวัติการค้นพบ
มนุษย์ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์มาเป็นเวลานับพันปีแล้ว แต่ยังไม่มีผู้ใดเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเศษซากเหล่านี้เป็นของสัตว์ชนิดใด และพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ชาวจีนมีความคิดว่านี่คือกระดูกของมังกร ขณะที่ชาวยุโรปเชื่อว่านี่เป็นสิ่งหลงเหลือของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปเมื่อครั้งเกิดน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ จนกระทั่งเมื่อมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ในปี ค.ศ. 1822 โดย กิเดียน แมนเทล นักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ไดโนเสาร์ชนิดแรกของโลกจึงได้ถูกตั้งชื่อขึ้นว่า อิกัวโนดอน เนื่องจากซากดึกดำบรรพ์นี้มีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกับโครงกระดูกของตัวอิกัวนาในปัจจุบัน
สองปีต่อมา วิลเลียม บักแลนด์ (William Buckland) ศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยา ประจำมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ก็ได้เป็นคนแรกที่ตีพิมพ์ข้อเขียนอธิบายเกี่ยวกับไดโนเสาร์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ โดยเป็นไดโนเสาร์ชนิด เมกะโลซอรัส บักแลนดี (Megalosaurus bucklandii) และการศึกษาซากดึกดำบรรรพ์ของสัตว์พวกกิ้งก่า ขนาดใหญ่นี้ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากนักวิทยาศาสตร์ทั้งในยุโรปและอเมริกา
จากนั้นในปี ค.ศ. 1842 เซอร์ ริชาร์ด โอเวน เห็นว่าซากดึกดำบรรพ์ขนาดใหญ่ที่ถูกค้นพบมีลักษณะหลายอย่างร่วมกัน จึงได้บัญญัติคำว่า ไดโนเสาร์ เพื่อจัดให้สัตว์เหล่านี้อยู่ในกลุ่มอนุกรมวิธานเดียวกัน นอกจากนี้ เซอร์ริชาร์ด โอเวน ยังได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ขึ้น ที่เซาท์เคนซิงตัน กรุงลอนดอน เพื่อแสดงซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ รวมทั้งหลักฐานทางธรณีวิทยาและชีววิทยาอื่น ๆ ที่ถูกค้นพบ โดยได้รับการสนับสนุนจากเจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งแซกซ์-โคเบิร์ก-โกทา (Prince Albert of Saxe-Coburg-Gotha) พระสวามีของสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร
จากนั้นมา ก็ได้มีการค้นหาซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ในทุกทวีปทั่วโลก (รวมทั้งทวีปแอนตาร์กติกา) ทุกวันนี้มีคณะสำรวจซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์อยู่มากมาย ทำให้มีการค้นพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ประมาณว่ามีการค้นพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่เพิ่มขี้นหนึ่งชนิดในทุกสัปดาห์ โดยทำเลทองในตอนนี้อยู่ที่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศอาร์เจนตินา และประเทศจีน
วิวัฒนาการ
บรรพบุรุษของไดโนเสาร์คือ อาร์โคซอร์ (archosaur) ซึ่งไดโนเสาร์เริ่มแยกตัวออกมาจากอาร์โคซอร์ในยุค ไทรแอสซิก ไดโนเสาร์ชนิดแรกถือกำเนิดขึ้นราวๆ 230 ล้านปีที่แล้ว หรือ 20 ล้านปี หลังจากเกิดการสูญพันธุ์เพอร์เมียน-ไทรแอสซิก (Permian-Triassic extinction) ซึ่งคร่าชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกสมัยนั้นไปกว่า 70 เปอร์เซ็นต์
สายพันธุ์ไดโนเสาร์แพร่กระจายอย่างรวดเร็วหลังยุคไทรแอสซิก กล่าวได้ว่าในยุคทองของไดโนเสาร์ (ยุคจูแรสซิก และยุคครีเทเชียส) ทุกสิ่งมีชีวิตบนพื้นพิภพที่มีขนาดใหญ่กว่าหนึ่งเมตรคือไดโนเสาร์
จนกระทั่งเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว การการสูญพันธุ์ครีเทเชียส-เทอร์เทียรี (Cretaceous-Tertiary extinction) ก็ได้กวาดล้างไดโนเสาร์จนสูญพันธุ์ เหลือเพียงไดโนเสาร์บางสายพันธุ์ที่เป็นบรรพบุรุษของนกในปัจจุบัน ยุคต่างๆของไดโนเสาร์
มหายุค เมโสโซอิค (Mesaozoic Era) 65-225 ล้านปี ในยุคนี้มี 3 ยุค คือ ยุค ไตรแอสสิก ยุคจูราสสิก ยุคครีเตเซียส และยุคซีโนโซอิกในยุคไตรแอสสิกนี้ สภาพอากาศในขณะนั้นจะมี สภาพร้อนและแล้งมากขึ้นกว่าในอดีต ทำให้ต้นไม้ใหญ่น้อยในเขตร้อนสามารถเจริญเติบโตได้ ดีมาก จนกระทั่ง "ไดโนเสาร์ ตัวแรก"ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ ไดโนเสาร์กลุ่มแรกที่ได้กำเนิด ขึ้นมาจะมีขนาดเล็กเดิน 2 เท้า และมีลักษณะพิเศษ คือ เท้ามีลักษณะคล้ายกับเท้าของนก ต่อมา ในยุคจูราสสิกนี้ จัดว่าเป็นยุคที่เฟื่องฟูเป็นอย่างมาก บรรดาพืชพรรณธัญญาหารที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ไดโนเสาร์จำนวนมากขยายพันธุ์ไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มีร่างกายใหญ่โต ซึ่งส่วนใหญ่จะกินพืช เป็นอาหาร และยุคนี้ยังได้ ถือกำเนิด นก ขึ้นมาเป็นครั้งแรกอีกด้วย ต่อมาในยุคครีเตเชียสนี้ จัดว่า เป็นยุคที่ไดโนเสาร์นั้นรุ่งเรื่องที่สุด เพราะยุคนี้ไดโนเสาร์ ได้มีการพัฒนาพันธุ์ออกมาอย่างมากมาย